วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

จลนศาสตร์เคมี (Chemical  kinetics)

การเปลี่ยนแปลงทางเคมี  หรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจเกิดขึ้นได้เร็วช้าต่างๆ กัน  เช่น  ปฏิกิริยาการระเบิดของวัตถุระเบิดใช้เวลาในการเกิดปฏิกิริยาไม่นานนัก  ถือว่าเป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่เร็วมาก  ส่วนการเกิดสนิมเหล็กต้องใช้เวลาในการเกิดนานเป็นเดือนเป็นปี  ถือว่าเป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ช้ามาก  บางปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้เร็วสามารถสังเกตเห็นได้ขณะทำการทดลอง  เช่น  การเกิดตะกอนสีเหลืองของ เลด(II)ไอโอไดด์(PbI2) จากปฏิกิริยาระหว่างสารละลายเลด(II)ไนเตรต(Pb(NO3)2กับสารละลายโพแตสเซียมไอโอไดด์(KI)  การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับเวลาเรียกว่า  อัตราการเกิดปฏิกิริยา(reaction  rate  :  r)  และเรียกการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาและกลไกของปฏิกิริยาว่า  จลนศาสตร์เคมี(Chemical  kinetics)
            การเกิดปฏิกิริยาเคมี  คือการที่สารตั้งต้น(Reactant)  เปลี่ยนไปเป็นสารใหม่หรือสารผลิตภัณฑ์ (Product)  โดยปริมาณหรือความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะลดลง  แต่ปริมาณหรือความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น  
1.  อัตราการเกิดปฏิกิริยา 
อัตราการเกิดปฏิกิริยา  คือการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยเวลา

      หน่วยอัตราการเกิดปฏิกิริยา  ขึ้นอยู่กับหน่วยปริมาณสารและหน่วยเวลา
      หน่วยปริมาณสารขึ้นอยู่กับสถานะะของสาร  เช่น 
ของแข็ง  ใช้หน่วยมวล  ได้แก่  กรัม(g)  กิโลกรัม(kg)
ของเหลวและแก๊ส  ใช้หน่วยปริมาตร  ได้แก่  ลิตร(L)  ลูกบาศก์เดซิเมตร(dm3)
ลูกบาศก์เซนติเมตร(cm3)
สารละลาย  ใช้หน่วยความเข้มข้น  ได้แก่  mol/dm3
      หน่วยเวลา  ได้แก่  วินาที(s)  นาที(min)  ชั่วโมง(hr)
      หน่วยอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่ใช้กันมากคือ  mol/dm3.s  หรือ  mol/s
            จากความหมายของอัตราการเกิดปฏิกิริยา  เมื่อพิจารณาปฏิกิริยาระหว่างสารตั้งต้น A กับ เกิดสารผลิตภัณฑ์ C และ ดังสมการ


สามารถเขียนความสัมพันธ์อัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดังนี้
เมื่อ       r           แทนอัตราการเกิดปฏิกิริยา

D         แทนการเปลี่ยนแปลง                  
[     ]     แทนความเข้มข้นของสาร(mol/dm3หรือแทนปริมาณสารเป็น mol
t           แทนเวลา
เครื่องหมาย แทนการเพิ่มขึ้น  และเครื่องหมาย -  แทนการลดลง
            สมการเคมีใดที่เลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้น  หรือสารผลิตภัณฑ์มีค่าไม่เท่ากันและมีค่ามากกว่า 1   การหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาในหน่วย  mol/s  จะต้องนำเลขสัมประสิทธิ์ของสารแต่ละตัวมาเป็นตัวหารของอัตราการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย  ดังตัวอย่าง
          กำหนดสมการทั่วไปให้ดังนี้

สรุป  อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเท่ากับอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณเป็นโมลของสารแต่ละชนิดหารด้วยเลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารนั้นในสมการเคมีที่ดุลแล้ว
            การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาอาจจะวัดจากปริมาณสารตั้งต้นตัวใดตัวหนึ่งที่ลดลง  หรือวัดจากปริมาณสารผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นก็ได้  ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความสะดวกในการวัด  อาจทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของในปฏิกิริยานั้น  เช่น  ชั่งมวลของสารเมื่อเป็นของแข็ง  วัดปริมาตรเมื่อเป็นแก๊ส  วัดความเข้มข้นเมื่อเป็นสารละลาย  หรือหาจำนวนโมลของสารซึ่งใช้ได้กับสารทุกสถานะ 
  2.  ชนิดของอัตราการเกิดปฏิกิริยา
            2.1  อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย(Average  rate)  หมายถึงปริมาณของสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด  หรือปริมาณของสารตั้งต้นที่ลดลงทั้งหมดต่อเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยานั้น
            2.2  อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง(Instantaneous  rate)  หมายถึงปริมาณสารตั้งต้นที่ลดลง ณ ขณะใดขณะหนึ่ง  หรือปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ณ ขณะใดขณะหนึ่ง  ต่อเวลาที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาในช่วงนั้น  ซึ่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาชนิดนี้หาได้จากค่าความชันของกราฟเท่านั้น
รูปที่ กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของ NO2กับเวลา
           อัตราการเกิดปฏิกิริยาช่วงเวลาใดก็คือความชัน(slope) ของเส้นกราฟที่ลากเชื่อมต่อระหว่างเวลาในช่วงนั้น  เช่น  ระหว่างช่วงเวลา  100s – 600s,  ระหว่างช่วงเวลา  200s – 500s,  หรืออัตราการเกิดปฏิกิริยาวินาทีที่  350  ก็คือความชันของเส้นกราฟ ณ จุดสัมผัสที่  350s 
จากกราฟ           ค่าความชัน  = D[NO2] / Dt
            อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยเป็นค่าที่แสดงถึงการลดลงของปริมาณสารตั้งต้น  หรือการเพิ่มขึ้นของปริมาณสารผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดต่อหนึ่งหน่วยเวลา  แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ ขณะใดขณะหนึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงการลดลงของปริมาณสารตั้งต้น  หรือการเพิ่มขึ้นของปริมาณสารผลิตภัณฑ์  ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่ปฏิกิริยาดำเนินอยู่  ดังนั้นในปฏิกิริยาหนึ่งจะมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยเพียงค่าเดียว  แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ ขณะใดขณะหนึ่งมีได้หลายค่า
3.  กฎอัตราและอันดับปฏิกิริยา
            กฎอัตรา(Rate  law)  คือความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละตัว  ซึ่งความเข้มข้นนี้บางตัวอาจมีผลมาก  มากตัวอาจมีผลน้อยและบางตัวอาจไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาก็ได้  เรียกความสัมพันธ์นี้ว่า  Law  of  mass  action  ซึ่งมีใจความดังนี้  อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยากัน
จาก Law  of  mass  action  เขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
                                                            r    a    [A]x[B]y
                                                            r    =    k[A]x[B]y
เมื่อ       r           คืออัตราการเกิดปฏิกิริยา              
k          คือค่าคงที่อัตรา(Rate  constant)  ซึ่งเป็นค่าคงที่เฉพาะปฏิกิริยาหนึ่งๆ  ที่อุณหภูมิคงที่ค่าหนึ่ง  ค่า นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  Specific  rate  constant
            [A]       คือความเข้มข้นของสาร A
[B]       คือความเข้มข้นของสาร B
            x,  y      คือเลขอันดับปฏิกิริยาเมื่อคิดจากสาร A  และสาร เป็นหลักตามลำดับ 
และเรียกสมการ  r  =  k[A]x[B]y  ว่า  กฎอัตรา  หรือสมการอัตรา(Rate  equation)  เป็นสมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความเข้มข้นของสารตั้งต้น  กฎอัตราทำให้ทราบว่าความเข้มข้นของสารใดบ้างมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา  และสารตั้งต้นที่มีผลนั้นสารใดมีผลมากกว่ากัน 
            อันดับปฏิกิริยา(Order  of  reaction)  เป็นค่าตัวเลขใดๆ (x,  y) อาจเป็นเลขจำนวนเต็ม  หรือเศษส่วนก็ได้  ซึ่งหาได้จากการทดลองหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อเปลี่ยนความเข้มข้นของสารตั้งต้นเท่านั้น  เป็นเลขที่บอกให้ทราบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นตัวนั้นหรือไม่  และเป็นจำนวนกี่เท่าของความเข้มข้น  และเรียกผลรวมของ  กับ  ว่าอันดับรวมของปฏิกิริยา(Overall  order) 
4.  ความหมายของอันดับปฏิกิริยา
            จากสมการ (1.1)  ถ้า  r  =  k[A][B]0  นั่นคือ  x = 1  และ  y = 0  จัดเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับสาร และเป็นปฏิกิริยาอันดับศูนย์เมื่อเทียบกับสาร และอันดับรวมของปฏิกิริยาเท่ากับ 1 (x + y = 0)  จากอันดับปฏิกิริยาดังกล่าว  แสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร A  ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสาร A เป็น  เท่า  อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น  เท่าเช่นกัน   แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้จะไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของสาร B   คือจะเพิ่มความเข้มข้นของสาร B ขึ้นเป็นกี่เท่าก็ตามอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้จะคงที่  หรืออาจเขียนความสัมพันธ์ใหม่ได้ดังนี้  r  =  k[A]
            ถ้า  r  =  k[A][B]2  นั่นคือ  x = 1  และ  y = 2  จัดว่าเป็นปฏิกิริยาอันดับ  3  (เพราะ x + y = 3)  และจัดเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง  เมื่อเทียบกับสาร นั่นคือเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร A เป็น  เท่า  อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น  เท่า  แต่จะเป็นปฏิกิริยาอันดับสองเมื่อเทียบกับสาร นั่นคือถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสาร B ขึ้นเป็น  เท่า  อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น  เท่า
ตารางที่ 1  ตัวอย่างกฎอัตราของปฏิกิริยาในสถานะแก๊ส
ที่มา  คณะอนุกรรมการปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์สาขาเคมี,  เคมี  เล่ม 1  โรงพิมพ์ชวนพิมพ์  กรุงเทพฯ ,   2548  :  หน้า  275
            จากตารางที่ จะเห็นได้ว่าเลขยกกำลังความเข้มข้นของสารตั้งต้นไม่ใช่เลขแสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้นนั้น  แต่บางกรณีที่ปฏิกิริยามีขั้นตอนการเกิดเพียงขั้นตอนเดียว  หรือเป็นขั้นกำหนดอัตราเร็วของปฏิกิริยาอาจมีค่าเท่ากันได้(ดูเรื่องกลไกปฏิกิริยา)
5.  การคำนวณเกี่ยวกับกฎอัตรา   

ตัวอย่างที่ 1  จากปฏิกิริยาซึ่งเกิดที่  25 °ได้ผลการทดลองดังนี้
1.       จงคำนวณหาค่า  x,  y  และ  k
2.       จงหากฎอัตรา  และอันดับปฏิกิริยา
3.       จงคำนวณหาอัตราเริ่มต้นของการเกิด NO2  ถ้าความเข้มข้นของ NO = 0.04  mol/dm3  และ  O2  =  0.015  mol/dm3
วิธีทำ    จากสมการเคมี                r  =  k[NO]x[O2]y                                                ……….( 1 )
            จากการทดลองที่ แทนค่าในสมการ ( 1 )
                                                0.021  =  k[0.01]x[0.03]y                         ……….( 2 )     
            จากการทดลองที่ แทนค่าในสมการ ( 1 )
                                                0.084  =  k[0.02]x[0.03]y                         ……….( 3 )


                                                       4      =        2x
                                                       22     =        2x
                                                       x       =        2
            จากการทดลองที่ แทนค่าในสมการ ( 1 )
                                                0.007      =        k[0.01]x[0.01]y               ……….( 4 )
            จากการทดลองที่ แทนค่าในสมการ ( 1 )
                                    0.014      =        k[0.01]x[0.02]y               ……….( 5 )
                                                 y     =        1
จากการทดลองที่ 1           0.007      =        k[0.01]2[0.01]
                                                 k     =        (0.007) / (0.01)3 =  7.0 x 103  dm6 mol-2 s-1
1.         x  =  2,  y  =  1,  k  =  7.0 x 103  dm6 mol-2 s-1
2.          กฎอัตราคือ               r        =        k[NO]2[O2]
3.         แทนค่าในกฎอัตรา    r        =        (7.0 x 103)(0.04)2(0.015)
                                                        =        0.168    mol dm-3 s-1
            อัตราเริ่มต้นของการเกิด NO2  =    0.168     mol dm-3 s-1
6.  ทฤษฎีจลนศาสตร์เคมี
            ทฤษฎีจลนศาสตร์เคมีเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารตั้งแต่  ชนิดขึ้นไป  ได้แก่  ทฤษฎีการชน (Collision  theory)  และ  ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated – complex theory)  ทั้งสองทฤษฎีกล่าวถึงการชนอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างโมเลกุลของสารตั้งต้น  แต่ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์กล่าวถึงรายละเอียดในขณะที่สารเข้าชนกันและการเกิดผลิตภัณฑ์
6.1    ทฤษฎีการชน (Collision  theory)  ทฎษฎีนี้ใช้อธิบายได้ดีกับสารที่มีสถานะเป็นแก๊ส  มี
ใจความว่า  ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้ต่อเมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยาจะต้องชนกันอย่างมีประสิทธิภาพ  กล่าวคือ  อนุภาคที่เข้าชนจะต้องมีทิศทางในการชนเหมาะสมและพลังงานรวมของอนุภาคที่เข้าชนกันจะต้องเท่ากับ  หรือมากกว่าพลังงานต่ำสุดค่าหนึ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้  ซึ่งเรียกว่า  พลังงานก่อกัมมันต์ (Activation  energy  :  Ea)
             จากรูป  จะเห็นได้ว่า (a) ทิศทางในการชนเหมาะสมที่สุดที่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาได้  ถ้าหากมีพลังงานในการชนมากเพียงพอ  ส่วน (b)  (c) และ  (d)  ทิศทางในการชนไม่เหมาะสม  ถึงแม้ว่าจะมีพลังงานในการชนมากเพียงพอก็ไม่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยา
รูปที่ 4  แสดงการเปรียบเทียบพลังงานก่อกัมมันต์
             พลังงานก่อกัมมันต์  หมายถึงพลังงานต่ำที่สุดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้  ซึ่งอาจเปรียบเทียบการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้กับการออกแรงผลักก้อนหินข้ามเนินเขาของชายคนหนึ่ง  โดยความสูงของยอดเขาคือค่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา ดังรูป  ชายคนนี้จะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งในการออกแรงผลักก้อนหินจากจุด ให้ไปอยู่ในตำแหน่งยอดเขา  ซึ่งเป็นพลังงานขั้นต่ำที่สุด  ต่อจากนั้นชายคนนี้ก็ไม่ต้องออกแรงผลักแล้ว  หินก้อนนี้ก็จะหล่นมาอยู่ที่ตำแหน่ง B ได้ 
6.1    ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated – complex theoryทฤษฎีนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
ทฤษฎีสภาวะแทรนซิชัน (Transition  state  theory)  เป็นทฤษฎีที่อธิบายขยายความทฤษฎีการชนให้ละเอียดขึ้น  ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการชนอย่างมีประสิทธิภาพของสารตั้งต้นว่า  เมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นชนกันแล้วจะเกิดสารที่ไม่เสถียรและมีพลังงานสูง  เรียกว่าสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated  complex) สารนี้อยู่ในสมดุลกับสารตั้งต้นและจะสลายไปเป็นสารผลิตภัณฑ์ต่อไป  การที่สารเชิงซ้อนกัมมันต์มีพลังงานสูงและไม่เสถียร  เพราะมีพันธะเคมีที่เริ่มสลายของสารตั้งต้นและพันธะเคมีของสารผลิตภัณฑ์ที่เริ่มสร้างขึ้นระหว่างอะตอมที่เหมาะสม  สภาวะนี้จึงมีพันธะที่ไม่อยู่ตัวและมีพลังงานค่อนข้างสูง  เรียกว่าสภาวะแทรนซิชัน  จนกระทั่งเมื่อพันธะเก่าสลายหมดและเกิดพันธะใหม่ที่สมบูรณ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เสถียรและระดับพลังงานลดต่ำลง  ความแตกต่างระหว่างพลังงานของสภาวะแทรนซิชันกับพลังงานของสารตั้งต้นอาจเทียบได้กับพลังงานก่อกัมมันต์นั่นเอง
            อย่างไรก็ตามสารเชิงซ้อนกัมมันต์ที่เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลที่นักวิทยาศาสตร์จินตนาการขึ้นมา  ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นจริงไม่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้  ดังนั้นทฤษฎีนี้จึงเป็นเพียงแบบจำลองทางทฤษฎีเท่านั้น

รูปที่ แสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยา

            จากรูป  สารตั้งต้น และ  BC  ชนกันแล้วเปลี่ยนสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (A----B----C)  และในที่สุดได้เป็นสารผลิตภัณฑ์ AB และ โดยมีพลังงานก่อกัมมันต์ = Ea  และพลังงานของปฏิกิริยาคือ DE
7.  พลังงานกับการดำเนินไปของปฏิกิริยา
            การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานควบคู่กันไป  ซึ่งบางปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาดูดพลังงานหรือดูดความร้อน (Endothermic  reaction)  และบางปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาคายพลังงานหรือคายความร้อน (Exothermic  reaction)  ดังรูป
จากรูปที่ เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน  สารตั้งต้น (N2 + O2) มีพลังงาน E1  สารผลิตภัณฑ์ (NO2มีพลังงาน  E3  พลังงานของสารผลิตภัณฑ์ สูงกว่าพลังงานของสารตั้งต้น จึงเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน  และพลังงานที่ดูดเข้าไปมีค่าเท่ากับ Dหรือเท่ากับ  E3 – E1(DE มีเครื่องหมายเป็นบวก) และ Ea  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยานี้มีค่าเท่ากับ E2 – E1  
จากรูปที่ เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน  สารตั้งต้น (N2 + H2) มีพลังงาน E1  สารผลิตภัณฑ์ (NH3) มีพลังงาน  E3  พลังงานของสารตั้งต้น สูงกว่าพลังงานของสารผลิตภัณฑ์ จึงเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน  และพลังงานที่คายออกมามีค่าเท่ากับ Dหรือเท่ากับ  E3 – E1  (DE มีเครื่องหมายเป็นลบ) และ Ea  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยานี้มีค่าเท่ากับ E2 – E1
จะเห็นได้ว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา (Eaกับพลังงานของปฏิกิริยา (DE) ไม่ใช่พลังงานเดียวกัน
8.  กลไกของปฏิกิริยา (Reaction  mechanism) 
            ปฏิกิริยาเคมีบางปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้ง่าย  อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันเพียงครั้งเดียวก็เกิดปฏิกิริยาได้  แต่ปฏิกิริยาเคมีส่วนมากไม่ได้เกิดจากการที่อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันครั้งเดียว  เช่น
จากสมการ  สารตั้งต้นประกอบด้วย  Fe2+  5  mol,  MnO4-  1  mol  และ  H+  8  mol  รวมทั้งหมด  14  mol  ถ้าปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นโดยการชนกันครั้งเดียว  ไอออนทั้ง  14  mol  ของสารตั้งต้นจะต้องมาชนพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน  ซึ่งโอกาสที่จะเกิดเช่นนี้น้อยมากจนเราไม่สามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้  แต่ความเป็นจริงเราสามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ได้  แสดงว่าปฏิกิริยานี้ไม่ได้ดำเนินไปเพียงขั้นตอนเดียว  แต่จะต้องดำเนินไปหลายขั้นตอนต่อเนื่องกันไปเป็นขั้นย่อยๆ  เราเรียกลำดับขั้นย่อยของปฏิกิริยานี้ว่า  กลไกของปฏิกิริยา  และเรียกสมการย่อยแต่ละสมการนั้นว่า  กระบวนการปฐม (Elementary  process)  หรือปฏิกิริยาปฐม (Elementary  reaction) 
            กระบวนการปฐมเป็นกระบวนการที่แสดงการชนกันของโมเลกุลโดยตรง  ดังนั้นเราสามารถเขียนกฎอัตราของปฏิกิริยาโดยนำเลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้นแต่ละสารในสมการเคมีนั้นมาเขียนเป็นอันดับของปฏิกิริยาได้ทันที  กระบวนการปฐมจำแนกตามจำนวนโมเลกุลของสารตั้งต้นที่เข้าชนกันได้ดังนี้
            1.  กระบวนการหนึ่งโมเลกุล (Unimolecular  process)  คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้นเพียงโมเลกุลเดียว เช่น
            2.  กระบวนการสองโมเลกุล (Bimolecular  process)  คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้น 2 โมเลกุลเข้าชนกันในขณะเดียวกัน  เช่น 
            3.  กระบวนการสามโมเลกุล (Termolecular  process)  คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้น 3 โมเลกุลเข้าชนกันในขณะเดียวกัน  เช่น  กระบวนการแบบนี้เกิดขึ้นได้ยากกว่ากระบวนการหนึ่งโมเลกุล  และกระบวนการสองโมเลกุลมาก  เพราะโอกาสที่สารตั้งต้น  โมเลกุลมาชนกันพร้อม ๆ กันนั้นเป็นไปได้ยาก  กฎอัตราของปฏิกิริยานี้คือ  r  =  k[NO]2[Br]
            สำหรับปฏิกิริยาทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่กระบวนการปฐมจะเขียนกฎอัตราโดยใช้เลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลและไม่ได้ทำการทดลองไม่ได้

            กลไกของปฏิกิริยาได้จากการคาดเดา  แต่ผลจากการเดานี้ต้องสอดคล้องกับผลการทดลองด้วย  หลังจากการเดากลไกของปฏิกิริยาแล้วจะต้องเขียนกฎอัตราของปฏิกิริยานั้น  แล้วเปรียบเทียบกับกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง  ถ้ากฎอัตราที่ได้จากกลไกแตกต่างจากกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง  ถือว่ากลไกนั้นผิด  แต่ถ้ากฎอัตราที่ได้จากกลไกเหมือนกับกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง  ถือว่ากลไกนั้นใช้ได้  แต่อาจบอกไม่ได้ว่าถูกต้องหรือไม่  เพราะอาจจะพบว่ากลไกที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่กฏอัตราที่เหมือนกันได้
            สำหรับปฏิกิริยาที่มีกลไกการเกิดขั้นตอนเดียวการตรวจสอบว่ากลไกนั้นใช้ได้หรือไม่  ให้เขียนกฎอัตราจากกลไกแล้วนำไปเปรียบเทียบกับกฎอัตราจากการทดลอง  แต่ถ้ากลไกของปฏิกิริยาประกอบด้วยกระบวนการปฐมหลายขั้น  เราอาจหากฎอัตราได้โดยคิดจาก  ขั้นกำหนดอัตรา (Rate – determining – step)  หมายถึงขั้นที่ช้าที่สุดของกลไก  โดยถือว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยารวมขึ้นอยู่กับอัตราการเกิดของกระบวนการปฐมขั้นที่ช้าที่สุด  วิธีการคือเลือกกระบวนการปฐมขั้นใดขั้นหนึ่งเป็นขั้นกำหนดอัตราแล้วใช้กฎอัตราของขั้นตอนนี้เพียงขั้นตอนเดียว  เช่น
ปฏิกิริยาตามสมการมีกฎอัตราที่ได้จากการทดลองคือ  r  =  k[NO]2[O2ซึ่งเป็นปฏิกิริยาอันดับสองเมื่อเทียบกับ NO2  และเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ O2  และปฏิกิริยารวมเป็นอันดับสาม  กลไกของปฏิกิริยาที่เป็นไปได้แบบหนึ่งคือ  กลไกขั้นตอนเดียวที่มีกระบวนการปฐมแบบสามโมเลกุลดังสมการ
ซึ่งเมื่อเขียนกฎอัตราจะได้เหมือนกฎอัตราจากการทดลอง  แสดงว่ากลไกขั้นตอนเดียวมีโอกาสเป็นไปได้  แต่การเกิดขึ้นค่อนข้างยากเพราะสารตั้งต้นทั้งสองจะต้องชนพร้อมกัน  โมเลกุล  กลไกที่ประกอบด้วยกระบวนการสองโมเลกุลหรือหนึ่งโมเลกุลจึงเป็นที่นิยมมากกว่า  เช่น
โมเลกุลของ N2O2  เกิดขึ้นในขั้นแรกของกระบวนการปฐม  และถูกใช้ไปในกระบวนการปฐมขั้นที่สอง  เราเรียกสารแบบนี้ว่า  สารมัธยันตร์ (Intermediate)  หมายถึงสารที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ปฏิกิริยาดำเนินไป  แต่จะไม่ปรากฏสารนี้ในสมการรวมของปฏิกิริยา  กระบวนการปฐมขั้นที่สองจึงเป็นขั้นกำหนดอัตรา  เขียนกฎอัตราได้ดังนี้
r  =  k[N2O2][O2]
เนื่องจาก  N2O2  เป็นสารมัธยันตร์จะต้องไม่มี  [N2O2] ปรากฏอยู่ในกฎอัตรา  ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยน [N2O2ให้อยู่ในรูปความเข้มข้นของสารตั้งต้นจากสมดุลในขั้นแรก  ดังนี้
แทนค่า [N2O2ลงใน r  =  k[N2O2][O2]  ได้ดังนี้ 
r  =  k.K[NO]2[O2]  =  k[NO]2[O2
ซึ่งก็คือกฎอัตราที่ได้จากการทดลองนั่นเอง  แสดงว่ากลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ก็ใช้ได้กับปฏิกิริยานี้เช่นกัน  และน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่ากรณีที่มีกลไกเพียงขั้นตอนเดียว
            อีกกลไกหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน  คือ
กฎอัตราของกลไกนี้คือ     r  =  k[NO3][NO]
แต่ NO3  คือสารมัธยันตร์  จึงต้องเปลี่ยน [NO3ไปเป็นความเข้มข้นของสารตั้งต้นในขั้นตอนแรก
แทนค่า [NO3ลงใน  r  =  k[NO3][NO]  ได้ดังนี้
                                    r  =  k.K[NO]2[O2]         =  k[NO]2[O2]
สรุปได้ว่า  กลไกที่ต่างกันอาจนำไปสู่กฎอัตราที่เหมือนกันได้  ดังนั้นการที่กลไกหนึ่งให้กฎอัตราที่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่ากลไกนั้นถูกต้องเสมอไป
9.  พลังงานกับปฏิกิริยาเคมีที่มีหลายขั้นตอน
รูปที่ แสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน
            จากรูปที่ ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงจากสาร ไปเป็นสาร เป็นปฏิกิริยาคายพลังงานโดยมีขั้นตอนการเกิด  ขั้นตอน  ขั้นตอนแรกสาร เปลี่ยนไปเป็นสาร ขั้นตอนนี้มีพลังงานก่อกัมมันต์เท่ากับ Ea1(E3 – E1ส่วน Ea3  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับสาร เปลี่ยนไปเป็นสาร ขั้นที่สองสาร เปลี่ยนไปเป็นสาร มีพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาเท่ากับ Ea2(E4 – E2ส่วน Ea4  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับสาร B เปลี่ยนไปเป็นสาร
ขั้นที่ เกิดปฏิกิริยาได้เร็วกว่าขั้นที่ เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของขั้นที่ ต่ำกว่าขั้นที่ 2  ดังนั้นขั้นที่ จึงเป็นขั้นกำหนดอัตราของปฏิกิริยานี้ นอกจากนี้ขั้นที่ ยังเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้  เนื่องจากพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับ
มีค่าน้อยกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปข้างหน้า(Ea2 = E4 – E2)  ทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้เร็วกว่าไปข้างหน้า  ดังนั้นขั้นที่ 1  จึงเป็นปฏิกิริยาผันกลับได้ส่วนขั้นที่ 2  เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปข้างหน้ามีค่าน้อยกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับ(Ea4 = E4 – E5และปฏิกิริยามีการเปลี่ยนพลังงานแบบคายพลังงาน  โดยพลังงานที่คายออกมามีค่าเท่ากับกลไกของปฏิกิริยาเขียนได้ดังนี้
10.  ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
            10.1  ธรรมชาติของสารตั้งต้น  สารแต่ละชนิดมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมีไม่เท่ากัน  การเปลี่ยนชนิดของสารที่เข้าทำปฏิกิริยาจะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนไป  เช่น  ที่อุณหภูมิห้อง  แก๊ส  H2  ทำปฏิกิริยากับแก๊ส  F2  ได้รวดเร็วและรุนแรงมากถึงขั้นระเบิดได้  แต่ที่สภาวะเดียวกันนี้แก๊ส H2  ทำปฏิกิริยากับแก๊ส  I2  ได้ช้ามากจนสังเกตไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
สารบางชนิดมีหลายอัญรูป  แต่ละอัญรูปมีความว่องไวในปฏิกิริยาต่างกัน  เช่น  ฟอสฟอรัสขาวจะลุกไหม้ติดไฟได้ในอากาศ  แต่ฟอสฟอรัสแดงและฟอสฟอรัสดำเสถียรในอากาศ
รูปที่ ฟอสฟอรัสขาว(a) และฟอสฟอรัสแดง (b)
            10.2  ความเข้มข้นของสารตั้งต้น  ปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยา  สำหรับปฏิกิริยาที่มีสารตั้งต้นมากกว่าหนึ่งชนิด  อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นสารใดสารหนึ่ง  หรือทุกสาร  หรือไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของทุกสารก็ได้
            การที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา  สามารถใช้ทฤษฎีการชนอธิบายได้ว่า  เมื่อความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น  ทำให้จำนวนอนุภาคเพิ่มขึ้นโอกาสที่อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันก็มีมากขึ้น  และเมื่ออนุภาคเพิ่มขึ้นจำนวนอนุภาคที่มีพลังงานสูงก็เพิ่มมากขึ้นด้วย  โอกาสที่อนุภาคของสารชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาได้ก็มีมากขึ้น  ดังนั้นเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดเร็วขึ้น  ในทางตรงข้ามถ้าลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดช้าลง
            กรณีที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี  เพราะปฏิกิริยานั้นมีขั้นตอนการเกิดหลายขั้นตอน  ซึ่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับขั้นช้าที่สุดในขั้นตอนดังกล่าวสารที่เปลี่ยนความเข้มข้นอาจไม่ใช่สารตั้งต้นของปฏิกิริยาขั้นตอนนั้นก็ได้  จึงทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่เปลี่ยน  เช่น
อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแก๊ส NO  แต่ไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของแก๊ส CO  โดยมีกฎอัตราจากการทดลองดังนี้  r  =  k[NO]2  ทั้งนี้เพราะปฏิกิริยาเกิดขึ้น  ขั้นตอนและขั้นตอนที่ช้าที่สุดซึ่งเป็นขั้นกำหนดอัตราไม่มีแก๊ส CO เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา
ปฏิกิริยารวม            
            10.3  พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น  ปฏิกิริยาเคมีที่พื้นที่ผิวมีผลจะเกิดขึ้นกับปฏิกิริยาเนื้อผสม (Heterogeneous  reaction) และปฏิกิริยาเนื้อผสมนั้นต้องมีสารตั้งต้นที่เป็นของแข็งทำปฏิกิริยากับแก๊ส  หรือทำปฏิกิริยากับของเหลวก็ได้  เช่น 
ปฏิกิริยาระหว่างโลหะ Mg  กับสารละลายกรด HCl  อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้  นอกจากจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารละลายกรด HCl  แล้ว  ยังขึ้นอยู่กับพื้นที่ผิวสัมผัสของโลหะ Mg อีกด้วย  กล่าวคือถ้าพื้นที่ผิวของโลหะ Mg มากอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเร็ว  และถ้าพื้นที่ผิวสัมผัสน้อยอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะช้า  ที่เป็นเช่นนี้เพราะ  เมื่อพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นที่เป็นของแข็งมากทำให้อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันด้วยความถี่สูงทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น  แต่ถ้าพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นน้อยอนุภาคของสารตั้งต้นชนกันด้วยความถี่ต่ำทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาช้าลง

            10.4  ความดัน  ปฏิกิริยาเคมีที่มีสารตั้งต้นอย่างน้อย  สารอยู่ในสถานะแก๊สการเปลี่ยนแปลงความดันของแก๊สโดยการเปลี่ยนแปลงปริมาตร  จะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
            การเพิ่มความดันโดยการลดปริมาตรของแก๊ส  นอกจากความดันของแก๊สเพิ่มขึ้นแล้ว  ความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่อยู่ในสถานะแก๊สเพิ่มขึ้นด้วย  เพราะโมเลกุลของแก๊สมาอยู่ชิดกันมาก  จึงทำให้อนุภาคของแก๊สชนกันมากขึ้นมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น  แต่การเพิ่มปริมาตรของแก๊สมีผลทำให้ความดันของแก๊สลดลง  ความเข้มข้นของสารตั้งต้นในสถานะแก๊สลดลงด้วย  เพราะโมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกัน  ทำให้อนุภาคของแก๊สชนกันน้อยลงจึงมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาช้าลง
            10.5  อุณหภูมิ   ปฏิกิริยาโดยทั่วไปจะมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ  และอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดลงเมื่อลดอุณหภูมิ  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิความเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สจะเพิ่มขึ้น(ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส)  ทำให้โมเลกุลมีพลังงานจลน์สูงขึ้น ดังนั้นอนุภาคของสารตั้งต้นจึงเคลื่อนที่เร็วขึ้นมีโอกาสที่อนุภาคชนกันมากขึ้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดเร็วขึ้น  นอกจากนี้การเพิ่มอุณหภูมิยังทำให้จำนวนโมเลกุลของแก๊สที่มีพลังงานจลน์สูงเพิ่มมากขึ้นด้วย  จึงทำให้เมื่อเกิดการชนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์เท่ากับหรือสูงกว่าพลังงานก่อกัมมันต์มีจำนวนมากขึ้นโอกาสที่ทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วมีมากขึ้น
รูปที่ 10  แสดงการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลของแก๊สที่อุณหภูมิ T1 และ T2
จากกราฟการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลจะเห็นได้ว่าที่อุณหภูมิสูง (T2จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ (Ea) มีจำนวนมากกว่าที่อุณหภูมิต่ำ (T1แสดงว่าเมื่ออุณหภูมิสูงโมเลกุลจะเคลื่อนที่เร็วและเกิดการชนที่มีประสิทธิภาพได้มากกว่าทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วกว่า
เมื่อเพิ่มอุณหภูมิอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะสูงขึ้นและเมื่อลดอุณหภูมิอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดลง  ตามทฤษฎีจลน์เมื่อเพิ่มอุณหภูมิโมเลกุลของแก๊สจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น  การชนกันต่อหนึ่งหน่วยเวลามีโอกาสมากขึ้นเป็นผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น
สวันเต  เอากุสต์  อาร์เรเนียส(Svante  August  Arrhenius)  ได้เสนอสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับอุณหภูมิ  ดังนี้
สมการดังกล่าวนี้เรียกว่า  สมการอาร์เรเนียส(Arrhenius  Equation)  เมื่อ
                        k          คือค่าคงที่อัตรา(rate  constant)  ค่านี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
                        Ea         คือพลังงานก่อกัมมันต์(kJ/mol)
                        R          คือค่าคงที่ของแก๊ส  มีค่า = 8.314  J/mol.K
                        T          คืออุณหภูมิเคลวิน(K)
                        A          คือแฟกเตอร์ความถี่(frequency  factor)  เป็นค่าที่เกี่ยวข้องกับความถี่
การชนกันของโมเลกุลทั้งหมดของสารตั้งต้น  เป็นค่าเฉพาะสำหรับปฏิกิริยาหนึ่งๆ
            จากสมการ  k  =  Ae-Ea/RT  เมื่อทำให้เป็นสมการเส้นตรงโดยใส่  log  จะได้ดังนี้
log k  =  log A – Ea / 2.303RT                ………………(1)
            โดยมีค่าความชัน(slope)  =  – Ea / 2.303RT
จากสมการที่(1)  เมื่อเปลี่ยนอุณหภูมิจาก  T1  เป็น  T2  ค่า  เปลี่ยนจาก  k1  เป็น  k2  เนื่องจากค่า  ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ  เขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
                                                log k1  =  log A – Ea / 2.303RT1              ………………(2)
                                                log k2  =  log A – Ea / 2.303RT2              ………………(3)
สมการ (3) – (2)         log k2 – log k=  (log A – Ea / 2.303RT2) – (log A – Ea / 2.303RT1)
                                                           =  Ea / 2.303RT1 - Ea / 2.303RT2
                                                           =  (Ea / 2.303R) (1/T1 – 1/T2)
                                    Log k2/k1       =  (Ea / 2.303R) {(T2 – T1)/T1T2}
            10.6  ตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวหน่วงปฏิกิริยา
            ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst)  คือสารที่เปลี่ยนความเร็วของปฏิกิริยา  โดยตัวเร่งปฏิกิริยาจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีอย่างถาวรในปฏิกิริยา  เมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยาจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมา  ตัวเร่งปฏิกิริยาโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น  ประเภท  คือ
            1.  ตัวเร่งปฏิกิริยาเนื้อเดียว  หรือตัวเร่งปฏิกิริยาเอกพันธ์ (Homogeneous  catalyst)  หมายถึงตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีวัฏภาคเหมือนกับสารตั้งต้น  เช่น  การใช้  I-(aq)  เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสลายตัวของ  H2O2(aq)
เมื่อไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา  กลไกของปฏิกิริยามีขั้นตอนเดียว  ดังนี้
เมื่อมี  -(aq)  เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา  กลไกของปฏิกิริยาเกิดขึ้น  ขั้นตอน  ดังนี้
รูปที่ 11  กราฟแสดงการดำเนินไปของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาและไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
                จากกราฟ  Ea1  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นที่ 1  ,  Ea2  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นที่ 2  ,  Ea3  คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่ไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา  และ  Ea  คือพลังงานของปฏิกิริยา
                        2.  ตัวเร่งปฏิกิริยาเนื้อผสม  หรือตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธภัณฑ์ (Heterogeneous  catalyst)  หมายถึงตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีวัฏภาคต่างจากสารตั้งต้น  ซึ่งมักเป็นของแข็งกับโลหะ  ปฏิกิริยาวิวิธภัณฑ์จะเกิดที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาจึงมักจะบดตัวเร่งปฏิกิริยาให้ละเอียดเพื่อให้มีพื้นที่ผิวในการทำปฏิกิริยามากที่สุด  เช่น  การใช้โลหะนิเกิล (Ni) เร่งปฏิกิริยาการเติมแก๊ส  H2  ให้แก่เอทิลีน (C2H4)
รูปที่ 12  แสดงกลไกปฏิกิริยาการเกิด C2H6 โดยใช้โลหะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
            จากรูป  อะตอมโลหะบริเวณพื้นผิวจะมีพันธะโลหะที่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีอะตอมโลหะข้างเคียงบนผิวและมักเกิดตำหนิแบบจุดขึ้นทำให้มีช่องว่างที่ตำแหน่งจุดแลตทิซในพันธะโลหะ  โมเลกุลของสารตั้งต้น(H2 และ  C2H4) ซึ่งอยู่ในวัฏภาคแก๊สจะถูกโลหะดูดซับไว้ที่ผิว (a)  จะเกิดพันธะระหว่าง H – โลหะ  ซึ่งคายพลังงานมากพอที่จะสลายพันธะ H – H ได้  อะตอม H ที่ผิวโลหะจะทำปฏิกิริยากับอะตอมของ C  2  อะตอมใน C2H4 (b,  c)  เกิดเป็น C2H6 และหลุดออกจากผิวหน้าของโลหะ (d) 
            เอ็นไซม์เป็นสารอินทรีย์ประเภทโปรตีนซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในร่างกายของสิ่งมีชีวิต  ในร่างกายเรามีเอ็นไซม์มากมายหลายชนิดทั้งนี้เพราะเอ็นไซม์แต่ละชนิดทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเฉพาะอย่างเท่านั้นไม่ได้ใช้เร่งปฏิกิริยาทุกปฏิกิริยา  ซึ่งปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายเกิดขึ้นที่อุณหภูมิปกติ  การเร่งปฏิกิริยาของเอ็นไซม์เกิดขึ้นโดยเอ็นไซม์จะรวมกับสารตั้งต้นที่เรียกว่า  ซับสเตรต (Substrate)  เกิดเป็นสารเชิงซ้อนเรียกว่า  เอ็นไซม์ ซับสเตรตคอมเพล็กซ์ (Enzyme – substrate  complex)  และสารใหม่ที่เกิดขึ้นจะสลายตัวต่อไปเป็นสารผลิตภัณฑ์ (Product)  และได้เอ็นไซม์กลับคืนมา  ดังสมการ
                                     เมื่อ       E          คือเอ็นไซม์
                                                  S          คือซับสเตรต
                                                  ES        คือเอ็นไซม์ ซับสเตรตคอมเพล็กซ์
                                                  P          คือสารผลิตภัณฑ์
รูปที่ 13  แสดงการทำงานของเอ็นไซม์ในการเร่งปฏิกิริยา
            การที่ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยทำให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น  เนื่องจากตัวเร่งปฏิกิริยาไปช่วยทำให้พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาลดลง   การลดพลังงานก่อกัมมันต์ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ง่ายและเร็วขึ้น  เนื่องจากเมื่อพลังงานก่อกัมมันต์ลดลงมีผลทำให้จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงพอมีจำนวนมากขึ้น  ทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดได้เร็วขึ้น
รูปที่  14  แสดงการเปรียบเทียบจำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงของ
  ปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาและไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
            จากรูปที่ 14  ปฏิกิริยาที่ไม่มีตัวเร่งพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยามีค่าสูง (Ea1จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้นั้นมีจำนวนน้อย ทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพคือชนแล้วสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้มีน้อย  จึงทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้า  แต่เมื่อพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาลดลง (Ea2จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้มีจำนวนมากขึ้นทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพของโมเลกุล  คือชนแล้วสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้มีมากขึ้น  จึงทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น
            ดังที่กล่าวมาแล้วว่าตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นสารที่ทำให้ปฏิกิริยาเคมีนั้นๆ เกิดได้เร็วขึ้น  โดยที่ตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปมีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาด้วยและเมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดลงได้สารผลิตภัณฑ์เกกิดขึ้นแล้วก็จะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมามีจำนวนเท่าเดิม
            ตัวหน่วงปฏิกิริยาหรือตัวยับยั้งปฏิกิริยา (Inhibitor)  หมายถึงสารที่เติมลงไปในปฏิกิริยาแล้วทำให้ปฏิกิริยาเคมีนั้นเกิดช้าลง  ซึ่งตัวหน่วงปฏิกิริยาอาจมีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาแล้วเปลี่ยนเป็นสารใหม่  หรืออาจจะไปขัดขวางการทำหน้าที่ของตัวเร่งปฏิกิริยาก็ได้  เช่น  ปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2ได้น้ำและแก๊สออกซิเจน  ดังสมการ
ปฏิกิริยานี้ถ้าเติมกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง  หรือเติมกลีเซอรอลลงไปเล็กน้อยจะทำให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวได้ช้าลง
รูปที่ 15  แสดงพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวหน่วงและไม่มีตัวหน่วงปฏิกิริยา
            ตัวหน่วงปฏิกิริยาช่วยทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้าลง  เนื่องจากตัวหน่วงปฏิกิริยาไปเพิ่มพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา (Ea2>Ea1)  แต่ไม่ได้ทำให้พลังงานของปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น












  





 














                           



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น