จลนศาสตร์เคมี (Chemical kinetics)
การเปลี่ยนแปลงทางเคมี
หรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจเกิดขึ้นได้เร็วช้าต่างๆ กัน เช่น
ปฏิกิริยาการระเบิดของวัตถุระเบิดใช้เวลาในการเกิดปฏิกิริยาไม่นานนัก ถือว่าเป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่เร็วมาก
ส่วนการเกิดสนิมเหล็กต้องใช้เวลาในการเกิดนานเป็นเดือนเป็นปี ถือว่าเป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ช้ามาก บางปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้เร็วสามารถสังเกตเห็นได้ขณะทำการทดลอง เช่น
การเกิดตะกอนสีเหลืองของ เลด(II)ไอโอไดด์(PbI2)
จากปฏิกิริยาระหว่างสารละลายเลด(II)ไนเตรต(Pb(NO3)2) กับสารละลายโพแตสเซียมไอโอไดด์(KI) การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับเวลาเรียกว่า อัตราการเกิดปฏิกิริยา(reaction rate
: r) และเรียกการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาและกลไกของปฏิกิริยาว่า จลนศาสตร์เคมี(Chemical kinetics)
การเกิดปฏิกิริยาเคมี คือการที่สารตั้งต้น(Reactant) เปลี่ยนไปเป็นสารใหม่หรือสารผลิตภัณฑ์
(Product)
โดยปริมาณหรือความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะลดลง
แต่ปริมาณหรือความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น
1. อัตราการเกิดปฏิกิริยา
อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือสารผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยเวลา
หน่วยอัตราการเกิดปฏิกิริยา ขึ้นอยู่กับหน่วยปริมาณสารและหน่วยเวลา
หน่วยปริมาณสารขึ้นอยู่กับสถานะะของสาร เช่น
ของแข็ง ใช้หน่วยมวล
ได้แก่ กรัม(g) กิโลกรัม(kg)
ของเหลวและแก๊ส ใช้หน่วยปริมาตร ได้แก่
ลิตร(L) ลูกบาศก์เดซิเมตร(dm3)
ลูกบาศก์เซนติเมตร(cm3)
สารละลาย ใช้หน่วยความเข้มข้น ได้แก่
mol/dm3
หน่วยเวลา ได้แก่
วินาที(s) นาที(min) ชั่วโมง(hr)
หน่วยอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่ใช้กันมากคือ mol/dm3.s หรือ mol/s
จากความหมายของอัตราการเกิดปฏิกิริยา เมื่อพิจารณาปฏิกิริยาระหว่างสารตั้งต้น A
กับ B เกิดสารผลิตภัณฑ์ C และ D ดังสมการ
สามารถเขียนความสัมพันธ์อัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดังนี้
เมื่อ r แทนอัตราการเกิดปฏิกิริยา
D แทนการเปลี่ยนแปลง
[ ] แทนความเข้มข้นของสาร(mol/dm3) หรือแทนปริมาณสารเป็น mol
t แทนเวลา
เครื่องหมาย + แทนการเพิ่มขึ้น และเครื่องหมาย - แทนการลดลง
สมการเคมีใดที่เลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้น หรือสารผลิตภัณฑ์มีค่าไม่เท่ากันและมีค่ามากกว่า
1 การหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาในหน่วย mol/s
จะต้องนำเลขสัมประสิทธิ์ของสารแต่ละตัวมาเป็นตัวหารของอัตราการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย ดังตัวอย่าง
กำหนดสมการทั่วไปให้ดังนี้
สรุป
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเท่ากับอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณเป็นโมลของสารแต่ละชนิดหารด้วยเลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารนั้นในสมการเคมีที่ดุลแล้ว
การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาอาจจะวัดจากปริมาณสารตั้งต้นตัวใดตัวหนึ่งที่ลดลง
หรือวัดจากปริมาณสารผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความสะดวกในการวัด อาจทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของในปฏิกิริยานั้น เช่น
ชั่งมวลของสารเมื่อเป็นของแข็ง วัดปริมาตรเมื่อเป็นแก๊ส วัดความเข้มข้นเมื่อเป็นสารละลาย
หรือหาจำนวนโมลของสารซึ่งใช้ได้กับสารทุกสถานะ
2. ชนิดของอัตราการเกิดปฏิกิริยา
2.1 อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย(Average rate)
หมายถึงปริมาณของสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือปริมาณของสารตั้งต้นที่ลดลงทั้งหมดต่อเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยานั้น
2.2 อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง(Instantaneous rate) หมายถึงปริมาณสารตั้งต้นที่ลดลง
ณ ขณะใดขณะหนึ่ง
หรือปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ต่อเวลาที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาในช่วงนั้น ซึ่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาชนิดนี้หาได้จากค่าความชันของกราฟเท่านั้น
รูปที่ 2 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของ
NO2กับเวลา
อัตราการเกิดปฏิกิริยาช่วงเวลาใดก็คือความชัน(slope) ของเส้นกราฟที่ลากเชื่อมต่อระหว่างเวลาในช่วงนั้น เช่น
ระหว่างช่วงเวลา 100s – 600s, ระหว่างช่วงเวลา 200s – 500s, หรืออัตราการเกิดปฏิกิริยาวินาทีที่ 350
ก็คือความชันของเส้นกราฟ ณ จุดสัมผัสที่ 350s
จากกราฟ ค่าความชัน = D[NO2] / Dt
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยเป็นค่าที่แสดงถึงการลดลงของปริมาณสารตั้งต้น หรือการเพิ่มขึ้นของปริมาณสารผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดต่อหนึ่งหน่วยเวลา แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ
ขณะใดขณะหนึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงการลดลงของปริมาณสารตั้งต้น หรือการเพิ่มขึ้นของปริมาณสารผลิตภัณฑ์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่ปฏิกิริยาดำเนินอยู่ ดังนั้นในปฏิกิริยาหนึ่งจะมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยเพียงค่าเดียว แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยา ณ
ขณะใดขณะหนึ่งมีได้หลายค่า
3. กฎอัตราและอันดับปฏิกิริยา
กฎอัตรา(Rate law) คือความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละตัว ซึ่งความเข้มข้นนี้บางตัวอาจมีผลมาก มากตัวอาจมีผลน้อยและบางตัวอาจไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาก็ได้ เรียกความสัมพันธ์นี้ว่า Law
of mass action
ซึ่งมีใจความดังนี้ “อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยากัน”
จาก
Law of
mass action เขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
r a [A]x[B]y
r =
k[A]x[B]y
เมื่อ r คืออัตราการเกิดปฏิกิริยา
k คือค่าคงที่อัตรา(Rate
constant) ซึ่งเป็นค่าคงที่เฉพาะปฏิกิริยาหนึ่งๆ ที่อุณหภูมิคงที่ค่าหนึ่ง ค่า k
นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
Specific rate constant
[A] คือความเข้มข้นของสาร A
[B] คือความเข้มข้นของสาร B
x, y คือเลขอันดับปฏิกิริยาเมื่อคิดจากสาร A และสาร B เป็นหลักตามลำดับ
และเรียกสมการ r
= k[A]x[B]y ว่า กฎอัตรา
หรือสมการอัตรา(Rate
equation) เป็นสมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความเข้มข้นของสารตั้งต้น
กฎอัตราทำให้ทราบว่าความเข้มข้นของสารใดบ้างมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา และสารตั้งต้นที่มีผลนั้นสารใดมีผลมากกว่ากัน
อันดับปฏิกิริยา(Order of reaction) เป็นค่าตัวเลขใดๆ (x, y) อาจเป็นเลขจำนวนเต็ม หรือเศษส่วนก็ได้ ซึ่งหาได้จากการทดลองหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อเปลี่ยนความเข้มข้นของสารตั้งต้นเท่านั้น
เป็นเลขที่บอกให้ทราบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นตัวนั้นหรือไม่ และเป็นจำนวนกี่เท่าของความเข้มข้น และเรียกผลรวมของ x กับ y ว่าอันดับรวมของปฏิกิริยา(Overall order)
4. ความหมายของอันดับปฏิกิริยา
จากสมการ (1.1) ถ้า r
= k[A][B]0 นั่นคือ x = 1
และ y =
0 จัดเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับสาร
A และเป็นปฏิกิริยาอันดับศูนย์เมื่อเทียบกับสาร
B และอันดับรวมของปฏิกิริยาเท่ากับ
1 (x + y = 0) จากอันดับปฏิกิริยาดังกล่าว
แสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร A ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสาร A
เป็น 2 เท่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น 2
เท่าเช่นกัน
แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้จะไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของสาร B
คือจะเพิ่มความเข้มข้นของสาร
B ขึ้นเป็นกี่เท่าก็ตามอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้จะคงที่ หรืออาจเขียนความสัมพันธ์ใหม่ได้ดังนี้ r
= k[A]
ถ้า r
= k[A][B]2 นั่นคือ x = 1
และ y =
2 จัดว่าเป็นปฏิกิริยาอันดับ 3
(เพราะ x + y = 3)
และจัดเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับสาร A นั่นคือเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสาร
A เป็น 2 เท่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น 2
เท่า
แต่จะเป็นปฏิกิริยาอันดับสองเมื่อเทียบกับสาร B นั่นคือถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสาร
B ขึ้นเป็น 2 เท่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น 4
เท่า
ตารางที่
1 ตัวอย่างกฎอัตราของปฏิกิริยาในสถานะแก๊ส
ที่มา : คณะอนุกรรมการปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์สาขาเคมี, เคมี
เล่ม 1 โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ กรุงเทพฯ , 2548 : หน้า 275
จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าเลขยกกำลังความเข้มข้นของสารตั้งต้นไม่ใช่เลขแสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้นนั้น แต่บางกรณีที่ปฏิกิริยามีขั้นตอนการเกิดเพียงขั้นตอนเดียว
หรือเป็นขั้นกำหนดอัตราเร็วของปฏิกิริยาอาจมีค่าเท่ากันได้(ดูเรื่องกลไกปฏิกิริยา)
5. การคำนวณเกี่ยวกับกฎอัตรา
1.
จงคำนวณหาค่า
x, y และ k
2.
จงหากฎอัตรา และอันดับปฏิกิริยา
3.
จงคำนวณหาอัตราเริ่มต้นของการเกิด NO2 ถ้าความเข้มข้นของ NO =
0.04 mol/dm3 และ O2 =
0.015 mol/dm3
วิธีทำ จากสมการเคมี r =
k[NO]x[O2]y ……….( 1 )
จากการทดลองที่ 3 แทนค่าในสมการ ( 1 )
0.021 =
k[0.01]x[0.03]y ……….(
2 )
จากการทดลองที่ 4 แทนค่าในสมการ ( 1 )
0.084 =
k[0.02]x[0.03]y ……….(
3 )
4 =
2x
22 = 2x
x
= 2
จากการทดลองที่ 1 แทนค่าในสมการ ( 1 )
0.007 = k[0.01]x[0.01]y ……….( 4 )
จากการทดลองที่ 2 แทนค่าในสมการ ( 1 )
0.014 = k[0.01]x[0.02]y ……….( 5 )
y = 1
จากการทดลองที่ 1 0.007 = k[0.01]2[0.01]
k = (0.007)
/ (0.01)3 = 7.0 x 103 dm6 mol-2 s-1
1. x =
2, y =
1, k = 7.0
x 103 dm6 mol-2
s-1
2.
กฎอัตราคือ r = k[NO]2[O2]
3. แทนค่าในกฎอัตรา r
= (7.0 x 103)(0.04)2(0.015)
= 0.168 mol dm-3 s-1
อัตราเริ่มต้นของการเกิด NO2 =
0.168 mol dm-3 s-1
6. ทฤษฎีจลนศาสตร์เคมี
ทฤษฎีจลนศาสตร์เคมีเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ได้แก่ ทฤษฎีการชน (Collision theory)
และ
ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated – complex theory) ทั้งสองทฤษฎีกล่าวถึงการชนอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างโมเลกุลของสารตั้งต้น
แต่ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์กล่าวถึงรายละเอียดในขณะที่สารเข้าชนกันและการเกิดผลิตภัณฑ์
6.1
ทฤษฎีการชน (Collision theory)
ทฎษฎีนี้ใช้อธิบายได้ดีกับสารที่มีสถานะเป็นแก๊ส มี
ใจความว่า
ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้ต่อเมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยาจะต้องชนกันอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ
อนุภาคที่เข้าชนจะต้องมีทิศทางในการชนเหมาะสมและพลังงานรวมของอนุภาคที่เข้าชนกันจะต้องเท่ากับ หรือมากกว่าพลังงานต่ำสุดค่าหนึ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ ซึ่งเรียกว่า
พลังงานก่อกัมมันต์ (Activation energy
: Ea)
จากรูป จะเห็นได้ว่า (a) ทิศทางในการชนเหมาะสมที่สุดที่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาได้ ถ้าหากมีพลังงานในการชนมากเพียงพอ ส่วน (b) (c) และ (d)
ทิศทางในการชนไม่เหมาะสม
ถึงแม้ว่าจะมีพลังงานในการชนมากเพียงพอก็ไม่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยา
รูปที่ 4 แสดงการเปรียบเทียบพลังงานก่อกัมมันต์
พลังงานก่อกัมมันต์
หมายถึงพลังงานต่ำที่สุดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้ ซึ่งอาจเปรียบเทียบการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้กับการออกแรงผลักก้อนหินข้ามเนินเขาของชายคนหนึ่ง โดยความสูงของยอดเขาคือค่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา
ดังรูป
ชายคนนี้จะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งในการออกแรงผลักก้อนหินจากจุด A ให้ไปอยู่ในตำแหน่งยอดเขา ซึ่งเป็นพลังงานขั้นต่ำที่สุด ต่อจากนั้นชายคนนี้ก็ไม่ต้องออกแรงผลักแล้ว หินก้อนนี้ก็จะหล่นมาอยู่ที่ตำแหน่ง B ได้
6.1
ทฤษฎีสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated – complex
theory) ทฤษฎีนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
ทฤษฎีสภาวะแทรนซิชัน
(Transition state
theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายขยายความทฤษฎีการชนให้ละเอียดขึ้น ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการชนอย่างมีประสิทธิภาพของสารตั้งต้นว่า
เมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นชนกันแล้วจะเกิดสารที่ไม่เสถียรและมีพลังงานสูง เรียกว่าสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (Activated complex) สารนี้อยู่ในสมดุลกับสารตั้งต้นและจะสลายไปเป็นสารผลิตภัณฑ์ต่อไป การที่สารเชิงซ้อนกัมมันต์มีพลังงานสูงและไม่เสถียร
เพราะมีพันธะเคมีที่เริ่มสลายของสารตั้งต้นและพันธะเคมีของสารผลิตภัณฑ์ที่เริ่มสร้างขึ้นระหว่างอะตอมที่เหมาะสม
สภาวะนี้จึงมีพันธะที่ไม่อยู่ตัวและมีพลังงานค่อนข้างสูง เรียกว่าสภาวะแทรนซิชัน
จนกระทั่งเมื่อพันธะเก่าสลายหมดและเกิดพันธะใหม่ที่สมบูรณ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เสถียรและระดับพลังงานลดต่ำลง ความแตกต่างระหว่างพลังงานของสภาวะแทรนซิชันกับพลังงานของสารตั้งต้นอาจเทียบได้กับพลังงานก่อกัมมันต์นั่นเอง
อย่างไรก็ตามสารเชิงซ้อนกัมมันต์ที่เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลที่นักวิทยาศาสตร์จินตนาการขึ้นมา ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นจริงไม่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้
ดังนั้นทฤษฎีนี้จึงเป็นเพียงแบบจำลองทางทฤษฎีเท่านั้น
จากรูป สารตั้งต้น A และ BC
ชนกันแล้วเปลี่ยนสารเชิงซ้อนกัมมันต์ (A----B----C) และในที่สุดได้เป็นสารผลิตภัณฑ์ AB
และ C โดยมีพลังงานก่อกัมมันต์ = Ea และพลังงานของปฏิกิริยาคือ DE
7. พลังงานกับการดำเนินไปของปฏิกิริยา
การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานควบคู่กันไป ซึ่งบางปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาดูดพลังงานหรือดูดความร้อน
(Endothermic reaction) และบางปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาคายพลังงานหรือคายความร้อน (Exothermic
reaction) ดังรูป
จากรูปที่ 6 เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน สารตั้งต้น (N2 + O2)
มีพลังงาน E1
สารผลิตภัณฑ์ (NO2) มีพลังงาน E3 พลังงานของสารผลิตภัณฑ์
สูงกว่าพลังงานของสารตั้งต้น จึงเป็นปฏิกิริยา ดูดความร้อน และพลังงานที่ดูดเข้าไปมีค่าเท่ากับ DE หรือเท่ากับ E3 – E1(DE มีเครื่องหมายเป็นบวก)
และ Ea คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยานี้มีค่าเท่ากับ E2 –
E1
จากรูปที่ 7 เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน สารตั้งต้น (N2 + H2)
มีพลังงาน E1
สารผลิตภัณฑ์ (NH3) มีพลังงาน E3 พลังงานของสารตั้งต้น
สูงกว่าพลังงานของสารผลิตภัณฑ์ จึงเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน และพลังงานที่คายออกมามีค่าเท่ากับ DE หรือเท่ากับ E3 – E1 (DE มีเครื่องหมายเป็นลบ)
และ Ea คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยานี้มีค่าเท่ากับ E2 –
E1
จะเห็นได้ว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา
(Ea) กับพลังงานของปฏิกิริยา (DE) ไม่ใช่พลังงานเดียวกัน
8. กลไกของปฏิกิริยา (Reaction mechanism)
ปฏิกิริยาเคมีบางปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้ง่าย
อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันเพียงครั้งเดียวก็เกิดปฏิกิริยาได้
แต่ปฏิกิริยาเคมีส่วนมากไม่ได้เกิดจากการที่อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันครั้งเดียว เช่น
จากสมการ สารตั้งต้นประกอบด้วย Fe2+ 5
mol, MnO4- 1
mol และ H+ 8
mol รวมทั้งหมด 14
mol ถ้าปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นโดยการชนกันครั้งเดียว ไอออนทั้ง
14 mol ของสารตั้งต้นจะต้องมาชนพร้อมๆ
กันในเวลาเดียวกัน ซึ่งโอกาสที่จะเกิดเช่นนี้น้อยมากจนเราไม่สามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้
แต่ความเป็นจริงเราสามารถวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ได้ แสดงว่าปฏิกิริยานี้ไม่ได้ดำเนินไปเพียงขั้นตอนเดียว
แต่จะต้องดำเนินไปหลายขั้นตอนต่อเนื่องกันไปเป็นขั้นย่อยๆ เราเรียกลำดับขั้นย่อยของปฏิกิริยานี้ว่า กลไกของปฏิกิริยา และเรียกสมการย่อยแต่ละสมการนั้นว่า กระบวนการปฐม (Elementary process)
หรือปฏิกิริยาปฐม (Elementary reaction)
กระบวนการปฐมเป็นกระบวนการที่แสดงการชนกันของโมเลกุลโดยตรง
ดังนั้นเราสามารถเขียนกฎอัตราของปฏิกิริยาโดยนำเลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลของสารตั้งต้นแต่ละสารในสมการเคมีนั้นมาเขียนเป็นอันดับของปฏิกิริยาได้ทันที
กระบวนการปฐมจำแนกตามจำนวนโมเลกุลของสารตั้งต้นที่เข้าชนกันได้ดังนี้
1. กระบวนการหนึ่งโมเลกุล (Unimolecular process)
คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้นเพียงโมเลกุลเดียว เช่น
2. กระบวนการสองโมเลกุล (Bimolecular
process) คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้น
2 โมเลกุลเข้าชนกันในขณะเดียวกัน เช่น 
3. กระบวนการสามโมเลกุล (Termolecular process)
คือกระบวนการที่มีสารตั้งต้น 3 โมเลกุลเข้าชนกันในขณะเดียวกัน เช่น
กระบวนการแบบนี้เกิดขึ้นได้ยากกว่ากระบวนการหนึ่งโมเลกุล และกระบวนการสองโมเลกุลมาก เพราะโอกาสที่สารตั้งต้น 3 โมเลกุลมาชนกันพร้อม ๆ กันนั้นเป็นไปได้ยาก กฎอัตราของปฏิกิริยานี้คือ r
= k[NO]2[Br]
มีค่าน้อยกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปข้างหน้า
(Ea2 = E4 – E2) ทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้เร็วกว่าไปข้างหน้า ดังนั้นขั้นที่ 1 จึงเป็นปฏิกิริยาผันกลับได้ส่วนขั้นที่
2 เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปข้างหน้า
มีค่าน้อยกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับ
(Ea4 = E4 – E5) และปฏิกิริยามีการเปลี่ยนพลังงานแบบคายพลังงาน โดยพลังงานที่คายออกมามีค่าเท่ากับ
กลไกของปฏิกิริยาเขียนได้ดังนี้
สำหรับปฏิกิริยาทั่วๆ
ไปที่ไม่ใช่กระบวนการปฐมจะเขียนกฎอัตราโดยใช้เลขสัมประสิทธิ์แสดงจำนวนโมลและไม่ได้ทำการทดลองไม่ได้
กลไกของปฏิกิริยาได้จากการคาดเดา แต่ผลจากการเดานี้ต้องสอดคล้องกับผลการทดลองด้วย
หลังจากการเดากลไกของปฏิกิริยาแล้วจะต้องเขียนกฎอัตราของปฏิกิริยานั้น
แล้วเปรียบเทียบกับกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง ถ้ากฎอัตราที่ได้จากกลไกแตกต่างจากกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง ถือว่ากลไกนั้นผิด
แต่ถ้ากฎอัตราที่ได้จากกลไกเหมือนกับกฎอัตราที่ได้จากการทดลอง ถือว่ากลไกนั้นใช้ได้ แต่อาจบอกไม่ได้ว่าถูกต้องหรือไม่
เพราะอาจจะพบว่ากลไกที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่กฏอัตราที่เหมือนกันได้
สำหรับปฏิกิริยาที่มีกลไกการเกิดขั้นตอนเดียวการตรวจสอบว่ากลไกนั้นใช้ได้หรือไม่ ให้เขียนกฎอัตราจากกลไกแล้วนำไปเปรียบเทียบกับกฎอัตราจากการทดลอง
แต่ถ้ากลไกของปฏิกิริยาประกอบด้วยกระบวนการปฐมหลายขั้น เราอาจหากฎอัตราได้โดยคิดจาก ขั้นกำหนดอัตรา (Rate – determining – step) หมายถึงขั้นที่ช้าที่สุดของกลไก
โดยถือว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยารวมขึ้นอยู่กับอัตราการเกิดของกระบวนการปฐมขั้นที่ช้าที่สุด วิธีการคือเลือกกระบวนการปฐมขั้นใดขั้นหนึ่งเป็นขั้นกำหนดอัตราแล้วใช้กฎอัตราของขั้นตอนนี้เพียงขั้นตอนเดียว เช่น
ปฏิกิริยาตามสมการมีกฎอัตราที่ได้จากการทดลองคือ r
= k[NO]2[O2] ซึ่งเป็นปฏิกิริยาอันดับสองเมื่อเทียบกับ
NO2 และเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ
O2 และปฏิกิริยารวมเป็นอันดับสาม กลไกของปฏิกิริยาที่เป็นไปได้แบบหนึ่งคือ
กลไกขั้นตอนเดียวที่มีกระบวนการปฐมแบบสามโมเลกุลดังสมการ
ซึ่งเมื่อเขียนกฎอัตราจะได้เหมือนกฎอัตราจากการทดลอง แสดงว่ากลไกขั้นตอนเดียวมีโอกาสเป็นไปได้
แต่การเกิดขึ้นค่อนข้างยากเพราะสารตั้งต้นทั้งสองจะต้องชนพร้อมกัน 3 โมเลกุล
กลไกที่ประกอบด้วยกระบวนการสองโมเลกุลหรือหนึ่งโมเลกุลจึงเป็นที่นิยมมากกว่า เช่น
โมเลกุลของ N2O2 เกิดขึ้นในขั้นแรกของกระบวนการปฐม และถูกใช้ไปในกระบวนการปฐมขั้นที่สอง เราเรียกสารแบบนี้ว่า สารมัธยันตร์ (Intermediate) หมายถึงสารที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ปฏิกิริยาดำเนินไป
แต่จะไม่ปรากฏสารนี้ในสมการรวมของปฏิกิริยา กระบวนการปฐมขั้นที่สองจึงเป็นขั้นกำหนดอัตรา เขียนกฎอัตราได้ดังนี้
r = k[N2O2][O2]
เนื่องจาก N2O2 เป็นสารมัธยันตร์จะต้องไม่มี [N2O2] ปรากฏอยู่ในกฎอัตรา
ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยน [N2O2] ให้อยู่ในรูปความเข้มข้นของสารตั้งต้นจากสมดุลในขั้นแรก ดังนี้
แทนค่า
[N2O2] ลงใน r = k[N2O2][O2] ได้ดังนี้
r =
k.K[NO]2[O2]
= k[NO]2[O2]
ซึ่งก็คือกฎอัตราที่ได้จากการทดลองนั่นเอง
แสดงว่ากลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ก็ใช้ได้กับปฏิกิริยานี้เช่นกัน และน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่ากรณีที่มีกลไกเพียงขั้นตอนเดียว
อีกกลไกหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน คือ
กฎอัตราของกลไกนี้คือ r
= k[NO3][NO]
แทนค่า
[NO3] ลงใน r
= k[NO3][NO] ได้ดังนี้
r = k.K[NO]2[O2] =
k[NO]2[O2]
สรุปได้ว่า
กลไกที่ต่างกันอาจนำไปสู่กฎอัตราที่เหมือนกันได้
ดังนั้นการที่กลไกหนึ่งให้กฎอัตราที่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่ากลไกนั้นถูกต้องเสมอไป
9. พลังงานกับปฏิกิริยาเคมีที่มีหลายขั้นตอน
รูปที่ 8 แสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน
จากรูปที่ 8 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงจากสาร A ไปเป็นสาร B เป็นปฏิกิริยาคายพลังงานโดยมีขั้นตอนการเกิด 2
ขั้นตอน
ขั้นตอนแรกสาร A เปลี่ยนไปเป็นสาร X ขั้นตอนนี้มีพลังงานก่อกัมมันต์เท่ากับ Ea1(E3
– E1) ส่วน Ea3 คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับสาร
X เปลี่ยนไปเป็นสาร A ขั้นที่สองสาร X เปลี่ยนไปเป็นสาร B มีพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาเท่ากับ
Ea2(E4 – E2) ส่วน Ea4
คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับสาร B เปลี่ยนไปเป็นสาร
X
ขั้นที่ 1
เกิดปฏิกิริยาได้เร็วกว่าขั้นที่ 2 เพราะพลังงานก่อกัมมันต์ของขั้นที่
1 ต่ำกว่าขั้นที่ 2
ดังนั้นขั้นที่ 1 จึงเป็นขั้นกำหนดอัตราของปฏิกิริยานี้
นอกจากนี้ขั้นที่ 1 ยังเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับได้
เนื่องจากพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาย้อนกลับ
10. ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
10.1
ธรรมชาติของสารตั้งต้น
สารแต่ละชนิดมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมีไม่เท่ากัน การเปลี่ยนชนิดของสารที่เข้าทำปฏิกิริยาจะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนไป เช่น
ที่อุณหภูมิห้อง แก๊ส H2
ทำปฏิกิริยากับแก๊ส F2 ได้รวดเร็วและรุนแรงมากถึงขั้นระเบิดได้ แต่ที่สภาวะเดียวกันนี้แก๊ส H2 ทำปฏิกิริยากับแก๊ส I2 ได้ช้ามากจนสังเกตไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
สารบางชนิดมีหลายอัญรูป
แต่ละอัญรูปมีความว่องไวในปฏิกิริยาต่างกัน เช่น
ฟอสฟอรัสขาวจะลุกไหม้ติดไฟได้ในอากาศ
แต่ฟอสฟอรัสแดงและฟอสฟอรัสดำเสถียรในอากาศ
รูปที่ 9 ฟอสฟอรัสขาว(a) และฟอสฟอรัสแดง (b)
10.2 ความเข้มข้นของสารตั้งต้น ปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยา
สำหรับปฏิกิริยาที่มีสารตั้งต้นมากกว่าหนึ่งชนิด อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้นสารใดสารหนึ่ง หรือทุกสาร
หรือไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของทุกสารก็ได้
การที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา สามารถใช้ทฤษฎีการชนอธิบายได้ว่า
เมื่อความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนอนุภาคเพิ่มขึ้นโอกาสที่อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันก็มีมากขึ้น
และเมื่ออนุภาคเพิ่มขึ้นจำนวนอนุภาคที่มีพลังงานสูงก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
โอกาสที่อนุภาคของสารชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาได้ก็มีมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดเร็วขึ้น
ในทางตรงข้ามถ้าลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดช้าลง
กรณีที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นไม่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
เพราะปฏิกิริยานั้นมีขั้นตอนการเกิดหลายขั้นตอน
ซึ่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับขั้นช้าที่สุดในขั้นตอนดังกล่าวสารที่เปลี่ยนความเข้มข้นอาจไม่ใช่สารตั้งต้นของปฏิกิริยาขั้นตอนนั้นก็ได้ จึงทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่เปลี่ยน เช่น
อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแก๊ส
NO แต่ไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของแก๊ส
CO โดยมีกฎอัตราจากการทดลองดังนี้ r
= k[NO]2 ทั้งนี้เพราะปฏิกิริยาเกิดขึ้น 2
ขั้นตอนและขั้นตอนที่ช้าที่สุดซึ่งเป็นขั้นกำหนดอัตราไม่มีแก๊ส
CO เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา
10.3 พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ปฏิกิริยาเคมีที่พื้นที่ผิวมีผลจะเกิดขึ้นกับปฏิกิริยาเนื้อผสม
(Heterogeneous
reaction) และปฏิกิริยาเนื้อผสมนั้นต้องมีสารตั้งต้นที่เป็นของแข็งทำปฏิกิริยากับแก๊ส หรือทำปฏิกิริยากับของเหลวก็ได้ เช่น
ปฏิกิริยาระหว่างโลหะ
Mg กับสารละลายกรด HCl อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้ นอกจากจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารละลายกรด HCl แล้ว ยังขึ้นอยู่กับพื้นที่ผิวสัมผัสของโลหะ Mg
อีกด้วย
กล่าวคือถ้าพื้นที่ผิวของโลหะ Mg มากอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเร็ว และถ้าพื้นที่ผิวสัมผัสน้อยอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะช้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นที่เป็นของแข็งมากทำให้อนุภาคของสารตั้งต้นชนกันด้วยความถี่สูงทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น
แต่ถ้าพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นน้อยอนุภาคของสารตั้งต้นชนกันด้วยความถี่ต่ำทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาช้าลง
10.4 ความดัน ปฏิกิริยาเคมีที่มีสารตั้งต้นอย่างน้อย 1
สารอยู่ในสถานะแก๊สการเปลี่ยนแปลงความดันของแก๊สโดยการเปลี่ยนแปลงปริมาตร จะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
การเพิ่มความดันโดยการลดปริมาตรของแก๊ส นอกจากความดันของแก๊สเพิ่มขึ้นแล้ว
ความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่อยู่ในสถานะแก๊สเพิ่มขึ้นด้วย เพราะโมเลกุลของแก๊สมาอยู่ชิดกันมาก
จึงทำให้อนุภาคของแก๊สชนกันมากขึ้นมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น แต่การเพิ่มปริมาตรของแก๊สมีผลทำให้ความดันของแก๊สลดลง ความเข้มข้นของสารตั้งต้นในสถานะแก๊สลดลงด้วย เพราะโมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกัน ทำให้อนุภาคของแก๊สชนกันน้อยลงจึงมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาช้าลง
10.5 อุณหภูมิ ปฏิกิริยาโดยทั่วไปจะมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ และอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดลงเมื่อลดอุณหภูมิ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเพิ่มอุณหภูมิความเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สจะเพิ่มขึ้น(ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส) ทำให้โมเลกุลมีพลังงานจลน์สูงขึ้น ดังนั้นอนุภาคของสารตั้งต้นจึงเคลื่อนที่เร็วขึ้นมีโอกาสที่อนุภาคชนกันมากขึ้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดเร็วขึ้น
นอกจากนี้การเพิ่มอุณหภูมิยังทำให้จำนวนโมเลกุลของแก๊สที่มีพลังงานจลน์สูงเพิ่มมากขึ้นด้วย
จึงทำให้เมื่อเกิดการชนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์เท่ากับหรือสูงกว่าพลังงานก่อกัมมันต์มีจำนวนมากขึ้นโอกาสที่ทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วมีมากขึ้น
รูปที่ 10 แสดงการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลของแก๊สที่อุณหภูมิ
T1 และ T2
จากกราฟการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลจะเห็นได้ว่าที่อุณหภูมิสูง
(T2) จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงกว่าพลังงานก่อกัมมันต์
(Ea) มีจำนวนมากกว่าที่อุณหภูมิต่ำ (T1) แสดงว่าเมื่ออุณหภูมิสูงโมเลกุลจะเคลื่อนที่เร็วและเกิดการชนที่มีประสิทธิภาพได้มากกว่าทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วกว่า
เมื่อเพิ่มอุณหภูมิอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะสูงขึ้นและเมื่อลดอุณหภูมิอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดลง
ตามทฤษฎีจลน์เมื่อเพิ่มอุณหภูมิโมเลกุลของแก๊สจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น การชนกันต่อหนึ่งหน่วยเวลามีโอกาสมากขึ้นเป็นผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น
สวันเต
เอากุสต์ อาร์เรเนียส(Svante August
Arrhenius) ได้เสนอสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับอุณหภูมิ ดังนี้
สมการดังกล่าวนี้เรียกว่า สมการอาร์เรเนียส(Arrhenius Equation)
เมื่อ
k คือค่าคงที่อัตรา(rate
constant) ค่านี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
Ea คือพลังงานก่อกัมมันต์(kJ/mol)
R คือค่าคงที่ของแก๊ส มีค่า = 8.314 J/mol.K
T คืออุณหภูมิเคลวิน(K)
A คือแฟกเตอร์ความถี่(frequency factor)
เป็นค่าที่เกี่ยวข้องกับความถี่
การชนกันของโมเลกุลทั้งหมดของสารตั้งต้น A เป็นค่าเฉพาะสำหรับปฏิกิริยาหนึ่งๆ
จากสมการ k
= Ae-Ea/RT เมื่อทำให้เป็นสมการเส้นตรงโดยใส่ log
จะได้ดังนี้
log k = log
A – Ea / 2.303RT ………………(1)
โดยมีค่าความชัน(slope) = – Ea
/ 2.303RT
จากสมการที่(1) เมื่อเปลี่ยนอุณหภูมิจาก T1 เป็น T2 ค่า k
เปลี่ยนจาก k1 เป็น k2 เนื่องจากค่า k
ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
เขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
log k1 = log
A – Ea / 2.303RT1 ………………(2)
log
k2 = log A – Ea / 2.303RT2 ………………(3)
สมการ
(3) – (2) log k2 – log k1 = (log
A – Ea / 2.303RT2) – (log A – Ea / 2.303RT1)
=
Ea / 2.303RT1 - Ea / 2.303RT2
=
(Ea / 2.303R) (1/T1 – 1/T2)
Log k2/k1 =
(Ea / 2.303R) {(T2 – T1)/T1T2}
10.6 ตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวหน่วงปฏิกิริยา
ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) คือสารที่เปลี่ยนความเร็วของปฏิกิริยา
โดยตัวเร่งปฏิกิริยาจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีอย่างถาวรในปฏิกิริยา
เมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยาจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมา ตัวเร่งปฏิกิริยาโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2
ประเภท คือ
1. ตัวเร่งปฏิกิริยาเนื้อเดียว
หรือตัวเร่งปฏิกิริยาเอกพันธ์ (Homogeneous catalyst)
หมายถึงตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีวัฏภาคเหมือนกับสารตั้งต้น เช่น
การใช้ I-(aq) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสลายตัวของ H2O2(aq)
เมื่อไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา กลไกของปฏิกิริยามีขั้นตอนเดียว ดังนี้
เมื่อมี I-(aq) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา กลไกของปฏิกิริยาเกิดขึ้น 2
ขั้นตอน ดังนี้
รูปที่ 11 กราฟแสดงการดำเนินไปของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาและไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
จากกราฟ Ea1
คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นที่
1 , Ea2 คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นที่
2 , Ea3 คือพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่ไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา และ Ea คือพลังงานของปฏิกิริยา
2. ตัวเร่งปฏิกิริยาเนื้อผสม หรือตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธภัณฑ์ (Heterogeneous catalyst)
หมายถึงตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีวัฏภาคต่างจากสารตั้งต้น ซึ่งมักเป็นของแข็งกับโลหะ
ปฏิกิริยาวิวิธภัณฑ์จะเกิดที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาจึงมักจะบดตัวเร่งปฏิกิริยาให้ละเอียดเพื่อให้มีพื้นที่ผิวในการทำปฏิกิริยามากที่สุด เช่น
การใช้โลหะนิเกิล (Ni) เร่งปฏิกิริยาการเติมแก๊ส H2 ให้แก่เอทิลีน (C2H4)
รูปที่ 12 แสดงกลไกปฏิกิริยาการเกิด C2H6
โดยใช้โลหะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
จากรูป
อะตอมโลหะบริเวณพื้นผิวจะมีพันธะโลหะที่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีอะตอมโลหะข้างเคียงบนผิวและมักเกิดตำหนิแบบจุดขึ้นทำให้มีช่องว่างที่ตำแหน่งจุดแลตทิซในพันธะโลหะ โมเลกุลของสารตั้งต้น(H2 และ C2H4)
ซึ่งอยู่ในวัฏภาคแก๊สจะถูกโลหะดูดซับไว้ที่ผิว (a) จะเกิดพันธะระหว่าง H – โลหะ
ซึ่งคายพลังงานมากพอที่จะสลายพันธะ H – H ได้ อะตอม H ที่ผิวโลหะจะทำปฏิกิริยากับอะตอมของ
C 2 อะตอมใน C2H4
(b, c)
เกิดเป็น C2H6 และหลุดออกจากผิวหน้าของโลหะ
(d)
เอ็นไซม์เป็นสารอินทรีย์ประเภทโปรตีนซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ในร่างกายเรามีเอ็นไซม์มากมายหลายชนิดทั้งนี้เพราะเอ็นไซม์แต่ละชนิดทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเฉพาะอย่างเท่านั้นไม่ได้ใช้เร่งปฏิกิริยาทุกปฏิกิริยา ซึ่งปฏิกิริยาต่างๆ
ในร่างกายเกิดขึ้นที่อุณหภูมิปกติ
การเร่งปฏิกิริยาของเอ็นไซม์เกิดขึ้นโดยเอ็นไซม์จะรวมกับสารตั้งต้นที่เรียกว่า ซับสเตรต (Substrate) เกิดเป็นสารเชิงซ้อนเรียกว่า เอ็นไซม์ –
ซับสเตรตคอมเพล็กซ์ (Enzyme – substrate
complex) และสารใหม่ที่เกิดขึ้นจะสลายตัวต่อไปเป็นสารผลิตภัณฑ์
(Product) และได้เอ็นไซม์กลับคืนมา ดังสมการ
เมื่อ E คือเอ็นไซม์
S คือซับสเตรต
ES คือเอ็นไซม์ – ซับสเตรตคอมเพล็กซ์
P คือสารผลิตภัณฑ์
รูปที่ 13 แสดงการทำงานของเอ็นไซม์ในการเร่งปฏิกิริยา
การที่ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยทำให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
เนื่องจากตัวเร่งปฏิกิริยาไปช่วยทำให้พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาลดลง การลดพลังงานก่อกัมมันต์ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ง่ายและเร็วขึ้น
เนื่องจากเมื่อพลังงานก่อกัมมันต์ลดลงมีผลทำให้จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงพอมีจำนวนมากขึ้น
ทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นปฏิกิริยาเคมีจึงเกิดได้เร็วขึ้น
รูปที่ 14 แสดงการเปรียบเทียบจำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงของ
ปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาและไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
จากรูปที่ 14 ปฏิกิริยาที่ไม่มีตัวเร่งพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยามีค่าสูง
(Ea1) จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้นั้นมีจำนวนน้อย
ทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพคือชนแล้วสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้มีน้อย จึงทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้า แต่เมื่อพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาลดลง (Ea2) จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้มีจำนวนมากขึ้น
ทำให้การชนที่มีประสิทธิภาพของโมเลกุล
คือชนแล้วสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้มีมากขึ้น จึงทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นสารที่ทำให้ปฏิกิริยาเคมีนั้นๆ
เกิดได้เร็วขึ้น
โดยที่ตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปมีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาด้วยและเมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดลงได้สารผลิตภัณฑ์เกกิดขึ้นแล้วก็จะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมามีจำนวนเท่าเดิม
ตัวหน่วงปฏิกิริยาหรือตัวยับยั้งปฏิกิริยา
(Inhibitor) หมายถึงสารที่เติมลงไปในปฏิกิริยาแล้วทำให้ปฏิกิริยาเคมีนั้นเกิดช้าลง ซึ่งตัวหน่วงปฏิกิริยาอาจมีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาแล้วเปลี่ยนเป็นสารใหม่
หรืออาจจะไปขัดขวางการทำหน้าที่ของตัวเร่งปฏิกิริยาก็ได้ เช่น
ปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ได้น้ำและแก๊สออกซิเจน ดังสมการ
ปฏิกิริยานี้ถ้าเติมกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง
หรือเติมกลีเซอรอลลงไปเล็กน้อยจะทำให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวได้ช้าลง
รูปที่ 15 แสดงพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาที่มีตัวหน่วงและไม่มีตัวหน่วงปฏิกิริยา
ตัวหน่วงปฏิกิริยาช่วยทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้าลง
เนื่องจากตัวหน่วงปฏิกิริยาไปเพิ่มพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา (Ea2>Ea1) แต่ไม่ได้ทำให้พลังงานของปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น